เทศน์พระ

เทศน์พระ ๓๔

๒๔ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๒๔ ธ.ค. ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อุโบสถนะ วันนี้วันอุโบสถ อุโบสถมันเป็นปักษ์ มันเป็นกาลเป็นเวลา แต่เวลาเราเกิดมาแล้ว เวลาหายใจไม่มีกาลไม่มีเวลานะ ถ้าหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกมันก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย มันไม่มีเวลาเว้นวรรคนะ ทำความดีนี้ไม่มีเวลาเว้นวรรคหรอก มันต้องทำตลอดเวลา นี่ก็เหมือนกัน ชีวิต ความรู้สึกนี้มันมีตลอดเวลา จิตนี้ไม่เคยตาย

เวลามันตายไป เวลาตายจากภพจากชาติ ดูสิ เราเป็นพระ สึกไปแล้วเป็นพระไหม สึกไปเป็นคฤหัสถ์ สึกไปเป็นฆราวาส ฆราวาสถ้าเอาบาตรไปขอเขากิน เขาเรียกว่า “ขอทาน” แต่เวลาเป็นพระบิณฑบาตไป ทำไมเขาเรียกว่า “โปรดสัตว์” ล่ะ เพราะมันเป็นประเพณีของชาวพุทธ เขาเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนทายาท วางไว้ให้เราเป็นศาสนทายาท “ถ้าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้า เราตถาคตจะปรินิพพาน”

“ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” แล้วเราเข้มแข็งไหม ถ้าเราเข้มแข็ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ เวลาเราบิณฑบาตออกไป สะพายบาตรออกไป ชาวบ้านเขาศรัทธา อาหารนี้เชิดชูไว้เหนือหัวเลย อธิษฐานก่อนแล้วใส่บาตรมา ใส่บาตรมาให้เราผู้ทรงศีลทรงธรรมจะได้ประทังชีวิต

การหายใจเข้าหายใจออก ขาดออกซิเจนไม่ได้เลยร่างกายนี้ การเลี้ยงชีพของเราก็เหมือนกัน ไอ้นี่เหมือนกัน สติสัมปชัญญะ การกระทำของเรามันต้องตื่นตัวสิ ไม่ใช่เราบวชมาแล้วเป็นพระ กิเลสมันยังไม่ได้แก้ไขเลย บวชมาแล้วเป็นพระนะ “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” มันแก่เพราะกินข้าวไม่ได้ ถ้าแก่เพราะกินข้าว อาวุโสมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พรรษามากขึ้น เขาจะกราบจะไหว้ เป็นหัวหน้าเขา เป็นผู้นำ ถ้าหัวหน้ายังลังเลสงสัยอยู่ หัวหน้ายังไม่รู้จักเข้าใจอะไรเป็นอะไร หัวหน้าจะเอาอะไรไปสอนเขา หัวรถจักร ดูมนุษย์สิ เวลาเขาศรัทธา ความเชื่อของเขา เขาดึงให้เข้ามาในศาสนาได้

นี่ก็เหมือนกัน เราจะเอาตัวเราเองออกจากกิเลส กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่บนฟ้าหรือ กิเลสมันอยู่ข้างนอกหรือ กิเลสมันอยู่ที่สิ่งเครื่องอาศัยหรือ? กิเลสมันอยู่ในหัวใจ กิเลสมันอยู่ในคูหาของใจ แล้วเราไปมองอยู่ข้างนอกกัน เอาเครื่องอาศัยเป็นกิเลส

รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่กิเลส โลกสรรพสิ่งนี้ไม่ใช่กิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสคือในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเรา มันต้องดัดแปลงกันที่นี่ ถ้ามันดัดแปลงกันที่นี่ เรื่องข้างนอก การเคลื่อนไหวไปมันจะบอกถึงหัวใจ เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่า “ศพเดินได้” พวกเรานี่ศพเดินได้ ไม่มีสติสัมปชัญญะเลย เหมือนศพเคลื่อนที่ ทำอะไรไม่มีสติ ทำอะไรไม่สำนึกถึงตัวเองเลย

ถ้ามันทำอะไรแล้วสำนึกถึงตัวเอง ถ้าเราไม่ใช่ศพเคลื่อนที่ เราจะมีสติสัมปชัญญะตลอด ถ้ามีสติสัมปชัญญะตลอด การกระทำอะไรมันจะมีสติ มันจะเคลื่อนไหวได้ มันจะเป็นไปได้ ถ้ามันเป็นไปได้ ตรงนี้มันตื่นตัว การตื่นตัว ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าให้ตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ให้นอนจมกับอะไรทั้งสิ้น

การนอนจม นั่นกิเลสมันขี่หัวแล้ว ถ้าเราตื่นตัว มันแสดงออกมาจากข้างใน ถ้ามันแสดงออกมาจากข้างใน การเคลื่อนไหวของเรา ความเป็นไปของเราเพื่ออะไร? เพื่อเอาชนะตัวเราเองนะ

มันนอนเนื่องอยู่ในหัวใจ ความนอนเนื่องอยู่ในใจอันนี้สำคัญมาก เวลาเราบวชกัน บวชขึ้นมาเป็นนักรบ ไม่ใช่นักรบจากข้างนอก ทหารเขาต้องฝึกวิชาการรบของเขา รบแบบกองโจร เขามีประกาศนียบัตรผ่านการฝึกมาจากหลักสูตรใด จากข้อมูลใด สิ่งนั้นเขาจะมีใบประกาศของเขา แต่ของเราเวลารบ เรารบกับตัวเราเอง ถ้ารบกับตัวเราเอง ถ้าความตื่นตัวของเรา มันมีความพร้อม กองทัพเคลื่อนด้วยท้อง สิ่งใดถ้าไม่มีเสบียงอาหาร กองทัพเขาก็ไปไม่ได้

ไอ้ของเราก็เหมือนกัน ความเคลื่อนของเราด้วยศรัทธาของเรา ด้วยความเชื่อของเรา ถ้ามีความเชื่อของเรา เดินจงกรมจนถึงสว่างก็ได้ นั่งสมาธิ ๗ วัน ๗ คืน เขาทำกันได้นะ ทำกันมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว นั่ง ๗ วัน ๗ คืน เวลาเดินจงกรม ทำตลอดไป เวลาอดอาหารแล้วมุมานะทำตลอดไป เพราะอะไรล่ะ เพราะมันมีความเชื่อ กองทัพเคลื่อนด้วยท้อง กำลังของเราเคลื่อนด้วยศรัทธาความเชื่อของเรา มันจะย้อนกลับมาที่เรา ชนะเราเท่านั้นนะ เรื่องของข้างนอกเป็นเรื่องของข้างนอก เรื่องของสังคมเป็นเรื่องของสังคม

สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ

สิ่งที่เป็นสัปปายะ คำว่า “สัปปายะ” มันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้นเอง ถ้าสัปปายะไม่มี ดูสิ หลวงปู่หลุย เวลาท่านถึงฤดูกาลของท่าน ท่านเดินจงกรมอยู่ในกลดของท่าน สัปปายะไหม ในกลดหลังหนึ่ง ในมุ้งนี้เดินจงกรมได้ คนที่มันมีความเพียร คนที่มันมีความจงใจ มีศรัทธาความเชื่อ ที่ไหนมันก็ทำได้ ทำได้เพราะอะไร เพราะมันจะเอาชนะตนเองไง อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนักบวชของเรา ในนักรบของเรา มันก็มีตั้งแต่กุฎุมพีขึ้นมา ตั้งแต่ยาจกเข็ญใจ มันอยู่ในศาสนานี้มาก ถึงวางไว้เป็นกลางๆ สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ เราก็ไปดูสัปปายะกันแต่ข้างนอก สัปปายะข้างนอกมันมีส่วนในความเป็นเครื่องอาศัยจากข้างนอกเท่านั้นแหละ แต่ถ้าหัวใจมันตื่นตัวนะ มันเห็นภัย เรานั่งกันอยู่ปัจจุบันนี้ หายใจอยู่อย่างนี้เห็นภัยไหม ถ้าเห็นภัยที่นี่ เห็นภัยในปัจจุบันนี้มันก็เห็นภัย ถ้าตรงนี้ไม่เห็นภัย มันก็ไปมองข้างนอก

รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่กิเลส สถานที่ก็ไม่ใช่กิเลส สัปปายะก็ไม่ใช่กิเลส กิเลสมันคือความรู้สึก กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้ากิเลสอยู่ในหัวใจของเรา เราจะจงใจกับมันอย่างไร เราจะสู้กับมันอย่างไร เราจะสู้กับตัวเราเองได้อย่างไร ถ้าสู้กับตัวเอง การเคลื่อนไหวออกมา มันอยู่ที่การกระทำของเรา

การกระทำของเรา ดูสิ ศีล กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม แล้วผู้ทรงศีลทรงธรรม นั่นกลิ่นของศีล กลิ่นที่พัดขจรขจายออกไป เพราะผู้ที่ทำคุณงามความดี สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากผู้กระทำ มันถึงเป็นกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม

แล้วกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันจะมาจากไหนถ้าไม่มีตัวธรรม ตัวศีลตัวธรรมอยู่ที่ไหน? ตัวศีลธรรมก็อยู่ที่ความรู้สึกของเรา แล้วการแสดงออกไปล่ะ ถ้าแสดงออกไป มันซื่อสัตย์กับตัวเราเองไหม ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเราเอง สิ่งที่มันซื่อสัตย์กับตัวเราเอง การแสดงธรรมมันก็เป็นความซื่อสัตย์ใช่ไหม

ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ศีลเอาไว้กับคนอื่นหมดเลย ศีลเอาไว้กับคนจากภายนอก คนจากสังคม คนจากสัปปายะสิ่งที่อาศัย แต่ศีลของเราไม่นับถือ ศีลของเราไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าศีลของเรามีความจำเป็น มือที่มันสะอาด มือที่ไม่มีแผล จะเข้าไปที่ไหนมันก็ทำได้ มันเป็นไปได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มือที่มีบาดแผลล่ะ มือเรามีบาดแผล แต่อาศัยมือคนอื่นที่ไม่มีบาดแผลให้ทำงานหรือ มือของคนอื่นใช่ไหม แล้วมือของคนอื่นก็เป็นคุณธรรมของคนอื่นสิ เป็นศีลธรรมในหัวใจของผู้อื่นสิ ไม่ใช่เป็นศีลธรรมของเรา

ถ้าศีลธรรมของเรา ของไม่ใช่ของของเรา ถ้าไม่เป็นของของเรา เราจะใช้ประโยชน์อย่างไรได้ เราจะอาศัยเขาตลอดไปหรือ ชีวิตนี้อาศัยเขาหรือ ให้คนอื่นหายใจแทนเราได้ไหม คนอื่นหายใจแทนให้เราไม่ได้ เราต้องหายใจของเราเอง ธรรมที่เกิดมาในหัวใจก็เป็นหัวใจของเราเองเหมือนกัน มาจากของคนอื่นไม่ได้

ธรรม ดูสิ เราเกิดมา ศาสนทายาท เกิดมาบวชเป็นพระ อาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลี้ยงชีพอยู่นี่ เลี้ยงชีพนะ ดูสิ ถ้าไม่มีประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เราจะบิณฑบาตได้อย่างนี้ไหม เราจะมีคนมานับหน้าถือตา มีคนที่มาทำบุญกุศล เพื่อดำรงชีวิตของเราไหม

เราไม่ต้องแสวงหานะ เราแค่ทำอยู่ในธรรมวินัยเท่านี้แหละ เขาก็แสวงหากันหมดทุกคน เพราะทุกคนต้องดิ้นรน แม้แต่โลกเขาก็ดิ้นรนกัน ทำบุญกุศลเขาก็ต้องดิ้นรนกัน ที่ไหนที่เขาลงใจ ที่ไหนที่เขาพอใจ เขาจะทำบุญที่นั่น เขาลงใจของเขา เขาถึงแสวงหามาเพื่อของของเขา นี่ไง บริษัท ๔ เขาเป็นอุบาสก-อุบาสิกา เราเป็นภิกษุ-ภิกษุณี

ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ใช่ภิกษุเป็นผู้ขอ ถ้าผู้ขอก็ขอธรรมวินัยสิ ขอธรรมขอวินัย ขอธรรมให้มาสถิตในหัวใจ แล้วถ้าขอ มันเป็นไปได้ไหม ขอให้ธรรมมาสถิตในหัวใจ ขอเอามันก็เป็นการอ้อนวอนเอา อ้อนวอนมันมาจากไหน เพราะอ้อนวอนคืออาการของใจเป็นคนอ้อนวอนใช่ไหม ถ้าคนไม่เข้าใจมันก็อ้อนวอนยาเสพติด อ้อนวอนสิ่งที่มันพอใจ อ้อนวอนสิ่งนั้นมา อ้อนวอนให้มันเสียคน เสียคนเพราะเป็นสิ่งเสพติดใช่ไหม มันยิ่งทำให้ใจเสียหายออกไป

ถ้าอ้อนวอนสิ่งที่เป็นคุณธรรม แล้วมันอ้อนวอนได้อย่างไร ในเมื่อกิเลสมันอยู่ในหัวใจ มันจะอ้อนวอนสิ่งที่มันขัดแย้งกับมันได้อย่างไร มันก็ต้องอ้อนวอนสิ่งที่สะดวกสบายนั่นแหละ อ้อนวอนสิ่งที่ให้มันลอยมาจากฟ้า

เปลือกของผลไม้ เขาไปตลาดกัน เขาซื้อผลไม้มา เขาต้องเอาเปลือกมันมาด้วย แต่เปลือกนี้รักษาผลไม้ไว้เพื่อเมื่อไรจะปอกมันทิ้ง ปอกเปลือกมันทิ้งเพื่อจะกินเนื้อมัน ปอกเปลือกมันทิ้งไป เอามาเพื่อจะทิ้งนะ ซื้อผลไม้มาจากตลาด ซื้อมาเพื่อจะไม่เอา

นี่ก็เหมือนกัน ในธรรมวินัยของเรา อ้อนวอนมามันก็เป็นเปลือก เป็นเปลือกข้างนอก สิ่งนี้ ดูสิ สิ่งที่ทำให้เราสงสัย เปลือก เปลือกสวยงามมากเลย แต่ในนั้นไม่มีเนื้อผลไม้เลย เป็นไปได้อย่างไร นี่ไง ในพระไตรปิฎก ธรรมทั้งนั้นเต็มไปหมดเลย แต่กิเลสไปอ่านมันมา ไปดูแต่เปลือกมันมา แต่ข้างในไม่รู้จักอะไรเลย ถ้าไม่รู้จักขึ้นมา มันต้องดัดแปลงที่เราสิ

ถ้ามันดัดแปลงจากเนื้อในนั้น เปลือกอาศัยห่อหุ้มมาเพื่อไม่ให้สิ่งนี้มันเสียหาย ให้ธรรมวินัยมันยังคงที่อยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วถ้าเราทำขึ้นมามันก็เป็นปัจจุบัน อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา แต่ในปัจจุบันนี้มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากเต็มหัวใจ แล้วอาศัยเปลือก เปลือกสวยงาม เปลือกสวยงามมาก ไม่มีแมลงเจาะไม่มีแมลงไชเลย เปลือกสวยงามมาก แต่เนื้อมันไม่มี พอเนื้อมันไม่มีมันก็กลวง พอมันกลวงขึ้นมามันก็เป็นทุกข์กับเรา

ถ้าเป็นคุณงามความดี ผลไม้มันมีทั้งใบ มันมีหมด มันมีทั้งเปลือก มีทั้งเนื้อ มีทุกอย่างพร้อมเลย ถ้าเดินทางไปในทะเลทราย เดินทางไปในที่กันดารขนาดไหน มันต้องการจะใช้สอยขึ้นมา มันจะดื่มกินได้ทันทีเลย

มีแต่เอาเปลือกไป กินก็กินไม่ได้ แล้วแบกหามไปให้มันทุกข์นะ นี่ก็เหมือนกัน มีแต่เปลือกกัน มีแต่เปลือกภายนอก แต่ข้างในมันไม่มีเนื้อหาสาระ ถ้ามีเนื้อหาสาระ มันจะเป็นความจริงกับเราขึ้นมา สิ่งนั้นมันเป็นเครื่องอาศัยนะ สิ่งที่เป็นเครื่องอาศัย ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดประจำ “อย่าว่าแต่เอามาถ่ายรูปเลย เครื่องอาศัย โกโก้ กาแฟ น้ำตาลยังไม่มีเลย ขอมาถ่ายรูปเก็บไว้ให้เป็นกระดาษ เก็บไว้ให้อุ่นใจก็ยังไม่มีเลย”

มันไม่มีหรอก มันไม่มี สิ่งที่มันไม่มี เราอยู่ในป่าอยู่ในเขาดำรงชีวิตของเราอย่างนี้ จะว่ามันอัตคัดขาดแคลนไหม มันก็ไม่อัตคัดขาดแคลน เพราะอะไร เพราะโลกเขาไม่เป็นไป โลกเขาไม่เชื่อถือ เขาไม่ศรัทธา เขาไม่รู้จักพระป่า พระป่าเพิ่งมาได้รู้จักเชื่อถือไม่กี่สิบปีนี้แหละ

แล้วเชื่อถือศรัทธาขึ้นมาแล้วก็ต้องวางกติกาว่าต้องดำรงชีวิตอย่างนี้ ต้องสุขสบายอย่างนี้ ต้องมีอย่างนี้จุนเจือตลอดไป มันไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ มันคือสิ่งที่สังคมเขาเชื่อถือขึ้นมาแล้วมันถึงจะมีขึ้นมา มันเชื่อถือมาจากใครถ้าไม่เชื่อถือขึ้นมาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่ในศีลในธรรม ท่านอดท่านอยากนะ

หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำ ถ้าวันไหนบิณฑบาตได้อาหารมา จะคิดถึงหลวงปู่มั่นตลอดไป หลวงปู่มั่นเป็นผู้บุกเบิก ไม่เคยได้เสพสุขอย่างนี้เลย ไม่เคยดำรงชีวิตมีความสุขอย่างนี้ ทุกข์ มองทางโลกเป็นเศษคน เป็นสิ่งที่ไม่มีคนเชื่อถือไม่มีคนศรัทธา เพราะเป็นสิ่งที่เขามองไม่เห็นเลย แต่คุณธรรมในหัวใจท่าน ดูสิ เปลือกผลไม้มันจะเน่า มันจะไม่มีอะไร แต่รสในเนื้อผลไม้นั้นมันหวาน มันชุ่มชื่น อยู่ในป่าในเขา อยู่คนเดียว แต่เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังธรรม

ข้างนอก เปลือกผลไม้ดูไม่ได้เลย ชาวบ้านเขาไม่ศรัทธาเขาไม่เชื่อถือ เขาเชื่อถือแต่พระที่เขาอยู่ด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณ แต่ข้างในมันกลวงมันเน่า แต่นี่ข้างนอกมันดูไม่สวยงามเลย แต่ในหัวใจมันเป็นธรรมทั้งนั้น เป็นธรรมทั้งแท่ง อยู่ในป่า บรรลุคุณธรรมก็อยู่ในป่า ดำรงชีวิตอยู่ในป่า ลูกศิษย์ลูกหาจะเข้าไปฝึกฝน ลูกศิษย์ลูกหาต้องดิ้นรนเข้าไปหา ไปศึกษามาเองนะ แล้วศึกษาดิ้นรนเข้าไป เทวดา อินทร์ พรหมก็ไปฟังธรรมของท่าน ไม่มีใครรู้จักนะ ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านดำรงชีวิตของท่านอยู่ในป่าตลอดไป แล้วสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยอย่างนี้ไม่มีหรอก อย่างนี้ไม่มี แล้วคุณธรรมเต็มหัวใจ การดำรงชีพอย่างนี้ การกระทำอย่างนี้ขึ้นมา คนถึงเชื่อถือศรัทธา เชื่อถือศรัทธาเพราะเป็นความจริง เป็นความจริงเพราะเขาเห็นจริง

แต่ในปัจจุบันเราเห็นจริงขึ้นมา มันก็มีการเคารพศรัทธา แล้วจะเอาตัวนี้เป็นตัวตั้งได้อย่างไร เอาโลกมาเป็นตัวตั้งได้อย่างไร เอาความเคารพศรัทธาของคฤหัสถ์เป็นตัวตั้ง ชีวิตต้องดำรงอย่างนั้นหรือ ชีวิตมันไม่ดำรงแบบครูบาอาจารย์หรือ

ชีวิตดำรงแบบครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านดำรงชีวิตกันมาอย่างไร ท่านทำอย่างไร แล้วท่านมีคุณธรรมอย่างไร ท่านมีสติสัมปชัญญะอย่างไร ไอ้ของเรามันไม่มีคุณธรรม สติสัมปชัญญะอย่างนั้นมันดำรงชีวิตแบบโลกๆ

โลกเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่

ถ้าเอาธรรมเป็นใหญ่ ธรรมวินัย มองมาที่ธรรมวินัย มองมาที่หัวใจ มองมาที่ความรู้สึก มันถึงไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานหรอก มันแก่เพราะคุณธรรม มันจะต้องแก่เพราะคุณธรรม แก่เพราะการกระทำของเรา แก่เพราะเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา

ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้าเรามีจุดยืนของเราขึ้นมา เราเป็นคนกระทำขึ้นมา ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับสิ่งใดๆ เลย ในโลกนี้ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับสิ่งใดๆ โลกนี้มีเพราะมีเรา โลกก็เป็นของเขาอย่างนั้น ใจของเรามีอยู่แล้ว ใจของเรามั่นคงอยู่แล้ว ถ้าใจเรามั่นคงอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ทำก็ทำได้ ถ้าทำอย่างนั้นขึ้นมา นี่โลกไม่เป็นใหญ่ ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นใหญ่คืออะไร? ธรรมเป็นใหญ่คือศีลธรรม คือความเป็นไป เป็นความยุติธรรมในหัวใจ ถ้าใจมันยุติธรรมขึ้นมา มันจบกันที่นี่ เห็นไหม

โลกนี้เป็นไป เวียนตายเวียนเกิดไปกับโลก โลกจะหมุนไปสภาวะแบบนี้ แล้วหมุนไป กิเลสมันก็วาดภาพวาดฝันไปอดีตอนาคต ปัจจุบันมันลงมาไม่ได้ ถ้าปัจจุบันลงมาได้นะ ไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้ สิ่งใดๆ ในโลกนี้เป็นเครื่องอาศัย ความเป็นเครื่องอาศัยของเขา อาศัยมาเพื่อดำรงชีวิต อาศัยมา เห็นไหม

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราอาศัยมาเพื่ออะไร? อาศัยมาเพื่อเป็นหลักชัย อาศัยมาเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกเราได้อาศัย ให้อาศัยขึ้นมา ให้เราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ คุณธรรมเกิดมาจากที่นี่นะ ไม่ต้องไปอ้อนวอนใคร ไม่ต้องไปสืบต่อใคร ไม่ต้องไปหวังกับใครทั้งสิ้น เพราะสิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัย คำว่า “เครื่องอาศัย” มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง มันต้องใช้สอยไป มันต้องบกพร่องไป มันต้องสูญสลายไปเป็นธรรมดา แล้วคุณธรรมที่มันไม่สูญสลายมันอยู่ไหนล่ะ

ถ้าเรามีคุณธรรมที่ไม่สูญสลาย สิ่งนี้โลกเขาต้องการ ถ้าเรามีความจริง คำว่า “โลกต้องการ โลกแสวงหา” ไม่ใช่ธรรมไปแสวงหาโลก เราบวชเป็นนักรบ เรามีคุณธรรมกัน ศากยบุตรพุทธชิโนรส แล้วไปแสวงหาโลกได้อย่างไร สิ่งนั้นเป็นเรื่องของโลก ถ้าเอาโลกมาเป็นใหญ่ เราจะเป็นขี้ข้ามันทันที เราจะโดนกิเลสหลอกทันที กิเลสบังเงาทันที แล้วก็บอกว่า “นี่เป็นนักปฏิบัติ เราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นนักรบ เราเป็นพระป่า เป็นผู้ที่ประชาชนคนนับถือศรัทธา”

ประชาชนนับถือศรัทธามาจากครูบาอาจารย์ต่างหากล่ะ แล้วเรามีอะไรให้เขาศรัทธาได้จริงล่ะ ถ้ามีศรัทธาได้จริง เรามีหลักขึ้นมา มันจะไม่ทำให้เสียหายไป

หมู่คณะ ในเมื่อโคนำฝูงมันนำฝูงออกจากวังน้ำวน ออกจากความยึดติดของใจ วังน้ำวน วนในหัวใจ อวิชชามันวนอยู่ในหัวใจ เห็นไหม มันดูดความรู้สึกของเรา แล้วมันก็สร้างปัญหาขึ้นมา สร้างปัญหาความเป็นไป มันจินตนาการของมันไป “สภาวธรรมเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น” มันจินตนาการของมันออกมาอย่างนั้น ถ้ามันจินตนาการออกไปอย่างนั้นมันไปไหน? ออกไปน้ำวน

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺาณํ ความรู้ความเห็นเกิดจากอวิชชา ถ้าความรู้ความเห็นเกิดจากอวิชชา มันก็เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาที่โคนำฝูงมันยอมจำนนกับวังน้ำวนในหัวใจ แต่ถ้ามันเป็นวิชชา มันจะพาออกจากวังน้ำวน

ดูสิ เราปฏิบัติขึ้นมา วนเข้าไปในวังน้ำวน โคนำฝูงที่ดูดเข้าไปในวังน้ำวน อวิชชามันดูดเข้าไปในภพในชาติ ดูดเข้ามาในหัวใจของเรา ดูดเข้ามาในภพในชาติ ในภวาสวะในภพ ในความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอันนี้มันเกิดอะไร? มันเกิดอวิชชา อวิชชาคือความคิดที่เกิดจากความไม่รู้มันออกไป เพราะมันออกจากวังน้ำวนใช่ไหม ออกจากวังน้ำวนมันก็วนออกไป วนออกไปแล้วหมุนกลับมา หมุนกลับมาในภพในชาติ ในอวิชชานั้น ฉะนั้น เราจะให้มันเกิดสัจจะความจริงขึ้นมาในความเป็นจริง นี่ปัญญามันเกิด มันก็เกิดโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดมาจากไหนถ้าไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ มันเกิดปัญญา ปัญญามันเกิดมาจากอะไร? ปัญญามันเกิดจากหัวใจ แล้วมันวนกลับมาทำลายอวิชชา ทำลายวังน้ำวน ถ้าทำลายวังน้ำวน นี่โลกุตตรธรรม มันเกิดมาจากภายใน ถ้ามันเกิดจากภายใน มันเกิดจากการตั้งสติ เกิดจากการเคลื่อนไหว มันไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน มันแก่เพราะวิชชา แก่เพราะโลกุตตรธรรม แก่เพราะธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดจากภายใน ธรรมมันเกิดขึ้นมามันจะทำลายอวิชชาวังน้ำวนอันนี้

โลกธาตุเป็นโลกธาตุ สังคมเป็นสังคม หมู่คณะเป็นหมู่คณะ ถ้าหมู่คณะเป็นหมู่คณะ การเข้าหมู่มันจะมีการตรวจสอบกัน ศีลต้องเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน หมู่คณะจะอยู่สุขสบาย ถ้าศีลไม่เสมอกัน ธรรมไม่เสมอกัน ศีลไม่เสมอกันตรงไหน บวชมา ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน บวชมาเป็นภิกษุ บวชมาจากญัตติจตุตถกรรม ออกมาเป็นพระ นี่พระเหมือนกัน ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ? มันเท่ากัน สิ่งนี้เท่ากัน

แล้วสิ่งที่อาวุโส-ภันเต อาวุโส-ภันเตที่ไหน? อาวุโส-ภันเตที่นี่ไง ที่ความรู้ไง ที่ความเป็นจริงในหัวใจไง อาวุโส-ภันเตมันอยู่ที่นี่ อาวุโสไม่ใช่การนับอายุนับวันนับคืนนะ

ดูสิ รัตตัญญู ผู้ที่รู้กาลรู้เวลา มีอายุมาก ผ่านโลกมามาก รัตตัญญูรู้เห็นโลกมามาก ความเป็นไป กิเลสมันก็รู้ตาม แต่ถ้ารู้ธรรมะล่ะ มันเป็นรัตตัญญูไหม

พระอรหันต์มีราตรีเดียว เขาก็เข้าใจว่าพระอรหันต์ไม่เคยนอน พระอรหันต์นอนไม่ได้ นอนไม่ได้ก็เอาไม้มาค้ำตาไว้สิ มันไม่ใช่ มันมีหนึ่งเดียวไง วันคืนล่วงไปๆ มันเป็นวันเดียวนี่แหละ ไม่มีทุกๆ วันหรอก มันมีอยู่วันเดียวนี่แหละ มันเป็นปัจจุบันตลอด มันจะมีรัตตัญญูมาจากไหน มันจะรู้ราตรีมาจากไหน มีราตรีเดียวคือมีปัจจุบันนี้ เพราะปัจจุบันนี้ สิ่งที่เกิดมามันเป็นประโยชน์กับใคร ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเราเพราะเรารู้จริง ถ้ารู้จริงขึ้นมา สิ่งที่รู้จริงแล้วมันจะไปตื่นเต้นกับอะไร มันไม่ตื่นเต้นกับอะไรเลย

สิ่งนี้สิ่งต่างๆ เป็นเรื่องของโลกนะ ถ้าเอาโลกเป็นใหญ่ เราจะหมุนไปกับโลก หมุนไปกับโลกแล้วโลกจะบดขยี้ไป ธรรมวินัยมันบดขยี้ เพราะธรรมวินัยท่องมาจำมา แล้วเอามาจับผิดกันไง

ธรรมวินัยเขาเอาไว้เชือดกิเลสเรา ธรรมวินัยเขาเอาไว้ให้ดูตัวเรา ดูใจเรา เพราะอะไร เพราะเรามีกิเลสไหม เรามีหน้าที่อะไร ถ้าเราไม่มีหน้าที่ชำระกิเลส ดูสิ ไอ้โคโง่ๆ ตัวนี้ ไอ้จิตตัวนี้ ปฏิสนธิจิตมันโง่ มันโง่มันก็อยู่ในวังน้ำวน แล้วธรรมวินัยก็เอาไว้จับผิดคนอื่น ธรรมวินัยเอาไว้เชือดเฉือนคนอื่นหรือ ธรรมวินัยเอาไว้เหยียบย่ำกันใช่ไหม ธรรมวินัยเขาเอาไว้ทำอย่างนั้นหรือ นี่มันทำลายเขานะ ทั้งที่มันไม่รู้ตัวเลย มันไม่รู้ตัวมันเอง มันเอาทิฏฐิมานะแล้วไปทำลายคนอื่น ทำลายคนอื่นแล้วมันยังว่ามันเก่งมันแน่อีกนะ

ธรรมวินัยนี้เขาเอาไว้ทำลายกิเลสเรา ธรรมาวุธเอาไว้ชำระกิเลส ธรรมาวุธไม่ใช่เอาไว้ทำลายคนอื่นนะ

คนอื่นคือคนอื่น ไม่ใช่หน้าที่ของเรา มันเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ใช่ไหม มันเป็นหน้าที่ ดูสิ เขาขอนิสัยใคร เขายอมรับใคร ถ้าเขายอมรับคนไหน คนนั้นก็มีหน้าที่สอนใช่ไหม เขาไม่ได้ยอมรับเรา นี่เป็นหมู่เป็นคณะกัน สัปปายะ เรามีความเห็นเหมือนกันไหม เรามีความเห็นตรงกัน ถ้าตรงกัน เราก็ทำในสิ่งที่ดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆ แล้วมันย้อนกลับมาในหัวใจของเรา ถ้าย้อนกลับมา นี่ไง มันทำลายกันที่นี่ มันทำลายความรู้สึกจากความเป็นจริงอันนี้ นี่ทำลายภพ

ชาติเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ภวาสวะ ภพ การเกิดนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ดูสิ ทางโลกเขาเล่นกีฬากัน ปิดตาตีหม้อ มันตีผิดตีถูก มันไม่รู้จักหรอก วางไว้ตรงนี้ หม้ออยู่นี่ แล้วปิดตาไว้ แล้วยกหม้อหนีไป มันตีไปไม่มีวันถูกหรอก นี่ก็เหมือนกัน ฆ่ากิเลสๆๆ แล้วมันจะไปฆ่ากันที่ไหน ถ้ามันไม่เข้าไปที่ภพนั้น มันไม่เข้าไปที่หัวใจนั้น ถ้ามันเข้าไปที่หัวใจนั้น กิเลสมันอยู่ที่ในใจนั้น มันเข้าไปทำลายกิเลสตรงนั้น ถ้าเข้าไปทำลายตรงนั้น นี่ไง

หลับตาตีหม้อมันเป็นเรื่องของโลก เพราะมันหลับตาตีหม้อ เขาเล่นกีฬากัน กีฬาพื้นบ้าน หลับตา เอาผ้าผูกตาเสีย แล้วเอาไม้ตีหม้อ เพราะมันตีโดยไม่เห็น ถ้ามันตีโดนมันก็สนุกสนานกัน ครึกครื้นกัน มันเป็นการบังเอิญ ตีโดนโดยบังเอิญ เพราะมันไม่มีสิ่งใดๆ ที่รู้ได้เลยว่าอยู่ที่ไหน

แต่ถ้าเป็นปัญญา เป็นมรรคญาณ มันต้องรู้ต้องเห็น มันเห็นสภาวะความเป็นไป

ดูสิ เวลาเราจะจมน้ำตาย น้ำเข้าปอด เราจะทะลึ่งไหม เราจะมีความทุกข์ไหม เราจะมีความวิตกกังวลว่าชีวิตนี้ต้องดับไหม มันจะตกใจขนาดไหน ขณะที่เราเอาตัวรอดขึ้นมาจากการจมน้ำ เราทะลึ่งขึ้นมาอย่างไร แล้วทำตัวอย่างไรให้พ้นไป นี่เป็นเรื่องของการจมน้ำ เป็นเรื่องของการสุดวิสัย แต่ถ้าเป็นการฆ่ากิเลสไม่เป็นอย่างนี้หรอก มันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันทรงตัวของมันได้ สมาธิมันทรงตัวของมันได้ขึ้นมา นี่สัมมาสมาธิ แล้วมันจะรู้ในขั้นของสมาธิ แต่มันก็โง่ โง่ว่านี่คือนิพพานๆ มันติดในสมาธิจนคิดว่านี่เป็นนิพพาน เพราะอะไร เพราะมันหลับตาตีหม้อ เพราะมันไม่รู้จักวิธีการ ไม่มีความเห็นแล้วมันเป็นไป

แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิเข้ามา มันเคยเจริญแล้วเสื่อมๆ มันดัดสันดาน ดัดสันดานจนรู้เห็นว่าเจริญแล้วเสื่อมๆ เพราะมันเจริญขึ้นมาแล้วเสื่อมไป พลังงานมันเกิดขึ้นมาแล้วก็ปล่อยให้มันหลุดมือไปๆ หลุดมือไปมันก็ต้องหาขึ้นมาใหม่ใช่ไหม พอหาขึ้นมาใหม่ นี่เป็นสมาธิเฉยๆ

ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา หัดย้อนออกไปให้มันออกรำพึงไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เห็นนะ เห็นโดยอำนาจวาสนา เห็นโดยความเป็นไปของแต่ละจิตแต่ละดวงใจ ถ้าเห็นสภาวะแบบนี้ มันเห็นความเป็นไป เห็นการจับต้อง เห็นการแยกขยาย อุคคหนิมิต วิภาคะ การขยายส่วนแยกส่วนออกไป สิ่งที่มันเห็นโดยสัจจะความจริง เห็นโดยตาของใจด้วย ไม่ใช่เห็นโดยตาเนื้อ

ทางวิชาการทางโลก เขาต้องเห็น เขาต้องจับต้องได้ เขาพิสูจน์ได้ เขาว่าสิ่งนั้นเขาเห็น นี่เป็นสมมุติทั้งหมด เป็นสิ่งที่ไร้สาระ เป็นสิ่งที่ไร้สาระมากๆ

แต่ถ้าเป็นการเห็นของใจ จิตมันเข้าไปเห็นสภาวะของมัน สิ่งนี้มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นการฝังใจดวงที่เห็นนั้น ถ้าได้เห็นกายขึ้นมาแล้วหลุดมือไปเพราะวิปัสสนาไม่เป็น เหมือนเราไปเห็นสินค้า เขาเดินผ่านไปในห้างสรรพสินค้า เห็นเพชรเม็ดใหญ่ๆ เลย เห็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เราหมายตาไว้เลยว่าอยากได้เพชรเม็ดนี้ แล้วเราก็เดินผ่านไป กลับมาก็ไม่เห็น กลับมา เพชรนั้นไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ แล้วไปถามกับใครก็ไม่รู้

นี่ก็เหมือนกัน จิตพอไปเห็นอุคคหนิมิต แล้วมันจะตั้งให้ภาพมันเห็นขึ้นมาอีก มันเห็นอีกไม่ได้ เพราะจิตมันไม่สงบ มันไม่มีหลักเกณฑ์พอ มันก็ต้องกลับมาที่สัมมาสมาธิ กลับมาตั้งสภาวะแบบนี้ ถ้าตั้งสภาวะแบบนี้ เห็นอย่างนั้นแล้วจับ เหมือนกับไปเดินห้างสรรพสินค้า เพชรเม็ดนี้ไปเห็นอีกแล้ว จะซื้อเพชรเม็ดนี้ ต้องการเพชรเม็ดนี้ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเห็นสภาวะกายอย่างนั้นแล้วเราตั้งกลับมาที่สมาธิ กลับมาที่ตั้งฐานของใจ จับสภาวะอย่างนี้แล้วแยกส่วนขยายส่วนเป็นวิภาคะ วิภาคะคือวิปัสสนา แยกส่วนขยายส่วนออกไป จับต้องให้มันอยู่ได้ แล้วแยกส่วนขยายส่วนจนมีความเป็นจริง มีความเป็นไป

เราไปเจอเพชรเม็ดนั้น ต้องการจะซื้อเพชรเม็ดนั้น ราคามันเท่าไร กี่แสนกี่ล้าน เรามีเงินกี่บาท นี่ก็เหมือนกัน วิปัสสนาไป ถ้ากำลังมันไม่พอ ปัญญามันเป็นไปไม่ได้ ราคากับของสิ่งนั้น ราคาไม่สมดุลกัน ใครเขาจะให้ วิปัสสนาแล้วมันปล่อย มันปล่อยโดยใคร? มันปล่อยโดยสัญญา มันปล่อยโดยความเป็นไป มันปล่อยโดยอำนาจวาสนา มันปล่อย เห็นไหม

ดูสิ ดูการกระทำสิ โลกุตตรธรรม ปัญญามันเกิดอย่างนี้ มันไม่ได้เกิดปัญญาแบบท่องจำที่ว่า “สิ่งนั้นเป็นปัญญา สิ่งนั้นเป็นปัญญา” นี่สิ่งที่ไร้สาระ

สิ่งอื่นนอกจากนี้ไร้สาระมาก ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมาเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญามันจะเกิดจากภายใน ปัญญาที่แยกส่วนขยายส่วนมันทำอย่างไร แล้วมันจบกระบวนการ มันสิ้นของมันอย่างไร

แล้วพอมันปล่อยขึ้นมา มันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยชั่วคราวๆ มันเป็นการชั่วคราวโดยสัจจะความจริง แต่ความคิดของเราก็ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง ความจริงนี้ความจริงชั่วคราวไง ดูสิ สมมุติบัญญัติ แล้วมันยังมีวิมุตติ ความจริงที่เป็นวิมุตติ ความจริงที่พ้นจากโลกไป มันไม่ใช่ความจริงอย่างนี้หรอก ความจริงอย่างนี้มันเป็นความจริงของเรา เป็นความจริงของกิเลสที่เข้ามามีส่วนแบ่งด้วย กิเลสมันเข้ามามีส่วนเจือจานสิ่งนี้ เวลามันปล่อยวางขึ้นมามันก็ปล่อยวางโดยมีกิเลสอยู่ มันไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มันไม่มัชฌิมา ไม่มรรคสามัคคี

มรรคสามัคคี การมรรคสามัคคีแต่ละครั้งแต่ละคราวมันจะมีหนเดียวเท่านั้นน่ะ เวลากิเลสขาด กิเลสขาดหนเดียว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มันขาดหนเดียวๆๆ แต่ก่อนที่จะเป็นหนเดียว ดูสิ ดูการศึกษา สอบทีเดียวผ่านมีไหม มันจะต้องมีสอบซ้อม สอบไล่ มันต้องมีสอบ ถ้ามันไม่ผ่านมันต้องมีการซ่อม มันมีหลายวิชาหลายความรู้กว่าจะจบแต่ละแขนงแตกต่างกันไป

นี่ก็เหมือนกัน ในการวิปัสสนา เวลามันปล่อย มันเป็นตทังคปหาน เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาที่นั่งอาสนะเดียวแล้วตรัสรู้ไป มันมี มันมีส่วนนี้ขึ้นมาเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เขาสร้างอำนาจวาสนาของเขามา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขามา เขาสร้างสมขึ้นมาจนสมดุลในใจของเขา การกระทำไปมันจะสมดุลของมันตลอดไป เพราะสิ่งนี้คือการสร้างมา

เราสร้างอะไรกันมา สร้างมานี้สร้างด้วยศรัทธาความเชื่อ ในศากยบุตร บวชมาเพราะมีศรัทธาความเชื่อ แล้วมีแรงใจอยากจะประพฤติปฏิบัติ มีแรงใจแสวงหา ดูสิ โลกเขาแสวงหาแหล่งน้ำกัน น้ำที่เขาจะใช้ดื่มกินต้องเป็นน้ำสะอาด เขาต้องกินน้ำสะอาด สิ่งที่จืดสนิทเย็นดี สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา น้ำสะอาดแต่เจือไปด้วยสารพิษ เจือด้วยสารตะกั่ว กินเข้าไปมันเกิดแต่โรคภัยไข้เจ็บ

เราแสวงหากันเพื่อสิ่งนี้ เพื่อสิ่งที่เป็นคุณธรรมของหัวใจ

ในการประพฤติปฏิบัติมันมีกิเลส สารตะกั่วมันเป็นรังสีนิวเคลียร์ มันผสมอยู่ในน้ำ ใจเรามันเจือไปด้วยกิเลส แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไป สิ่งนี้มันจะไว้ใจสิ่งใดๆ ได้ มันถึงจะต้องย้อนกลับมาหาครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้นำ เพราะอะไร เพราะเวลาเราทำขึ้นไปมันให้ค่าบวกหมด เราจะให้ค่าบวกๆๆ คูณไปหมดเลย นี่สิ่งที่เป็นไปของกิเลสมันเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนามันจะเฉลียวใจ “มันจะเป็นจริงอย่างนี้ไหม” ถ้ามีการวิเคราะห์วิจัย มีการลังเลอยู่นี้ มันเป็นสมมุติทั้งหมด มันมีกิเลสทั้งหมด แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันจะเป็นความจริงในปัจจุบันนั้น มันจะสมุจเฉทปหาน พับ! ขาดหมดเลย ถ้าขาดแล้วมีอะไรเหลือ? ไม่มีสิ่งใดเหลือในหัวใจเลย สิ่งนี้ไม่เหลือในขั้นของใคร ไม่เหลือในขั้นของโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นขั้นๆ ของมันขึ้นไปนะ สิ่งที่มันเป็นขั้นๆ ของมันขึ้นไป มันเป็นความเป็นไปของใจ นี่ไง โลกุตตรธรรม สิ่งนี้มันจะทำลายความเป็นไป สิ่งนี้มันจะทำลายโอฆะ ทำลายวังน้ำวนในใจ ถ้ามันทำลายวังน้ำวนออกไป สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์จะเกิดขึ้นมาก็ต่อเมื่อหัวใจเราเข้มแข็ง ต่อเมื่อเรามีความจงใจ ต่อเมื่อเรามีความคิดทางบวก

ถ้ามันทำขึ้นไปแล้ว สิ่งต่างๆ มันทำจนถึงที่สุดแล้ว พอกิเลสมันขึ้นมาขี่หัว มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ มันจะทดท้อ ท้อถอย มันจะเป็นกรรมฐานม้วนเสื่อนะ

ต่อเมื่อเรามีกำลังใจ หนึ่ง ต่อเมื่อเราทำแล้วมันสมดุลเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็น เป็นความจริง เป็นสิ่งที่ความจริงเกิดขึ้นมาจากเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมเกิดจากภายใน

ตู้พระไตรปิฎก สิ่งนี้ สัจจะนี้เป็นโลกุตตรธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกต้อง แต่เวลาเราทำ ต้องวางให้หมด แล้วทำให้มันเกิดขึ้นเป็นความจริงของเรา

ปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ ถึงจะปฏิเวธ

ปริยัติศึกษาขนาดไหน ทางวิชาการหรือความรู้ต่างๆ ขณะที่กำลังปฏิบัตินี้ต้องวางให้หมดเพราะมันเป็นสัญญา แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันไม่ใช่สัญญา มันเป็นความขุดคุ้ยขึ้นมาจากโลกุตตรปัญญา มันเป็นความขุดคุ้ยขึ้นมาจากใจ ใจมันขุดคุ้ยสิ่งนี้ขึ้นมา มันฟาดฟันสิ่งนี้ขึ้นมา เราจะเป็นผู้ที่องอาจกล้าหาญในอริยสัจมาก เพราะอริยสัจมันเกิดขึ้นมาจากใจ เราเป็นผู้รู้ผู้เห็น แล้วเราจะไปเคอะๆ เขินๆ กับใคร แต่ในเมื่อมันเป็นธรรมเหนือโลก ถ้าเราสื่อความหมายสิ่งนี้ไม่ได้ ปฏิภาณไหวพริบของทางโลกเขา เขามีปฏิภาณไหวพริบในการฝึก ฝึกพูด ฝึกต่างๆ เขาชำนาญของเขามา นั่นมันคือกรรมของสัตว์

ในเมื่อเราไปเจอคนที่มันแถ มันออกข้างๆ คูๆ มันไปตามปฏิภาณของเขา เราก็จับได้ เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก เพราะสิ่งนั้นมันเป็นกรรมของสัตว์ ในเมื่อสัตว์มันกินเปลือก มันกินเปลือกผลไม้ มันกินเปลือกไข่ เราจะเอาเนื้อไข่ เขากินเปลือกผลไม้ เราจะกินเนื้อผลไม้ เราไม่ใช่สัตว์โง่อย่างนั้น สัตว์โง่อย่างนั้นมันก็เรื่องของสัตว์ มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ เรื่องกรรมของสัตว์ มันเป็นเรื่องของเขา

ถ้าเรื่องของเรา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติมันถึงสำคัญตรงนี้ ปฏิบัติมันสำคัญตรงความรู้จริง แล้วการแก้กิเลสได้จริง ถ้าการแก้กิเลสได้จริง มันไม่เป็นแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานหรอก อาวุโส-ภันเตมันอยู่ที่คุณธรรม มันอยู่ที่การเคารพกันด้วยความชอบธรรม มันไม่ได้เคารพกันด้วยอายุพรรษา ไม่ได้เคารพกันด้วยอายุเวลา มันเคารพกันด้วยความจริงในหัวใจนะ ความจริงในหัวใจ ความถูกต้องในหัวใจ สิ่งนี้มันจะเคารพกัน การเคารพอย่างนี้มันจะเชิดชูมาก อยู่ในสังคมของพระเรา เขาเคารพกันตรงนี้ เขามองเห็นกันตรงนี้ เขาเห็นกันที่คุณธรรมนี้ เขาไม่ได้เห็นกันที่อายุพรรษา

อายุพรรษามันเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ ธรรมวินัยนี้สมมุติบัญญัติมาเพื่อให้สังคมเราอยู่ได้ อย่างเช่นวันนี้เราจะมาลงอุโบสถกัน เราทำอุโบสถเพราะอะไร เราทำอุโบสถเพราะว่าจะให้สังคมของเราอยู่กันด้วยความสมาน เรามาต่างทิศกัน เรามาต่างสถานที่กัน แต่เรามีเป้าหมายอันเดียวกัน เป้าหมายของเราคือการพ้นทุกข์

สิ่งใดที่มันกีดขวาง ทิฏฐิมานะความเห็นที่มันกีดขวาง เราจะมาลงอุโบสถ เราจะมาประชุมกันเพื่อเราจะมาแทะ เราจะมาทำให้สิ่งที่กีดขวางนี้หลุดออกไป ให้หัวใจ ให้ความเห็นมันมีเป้าหมาย มันมีการเคลื่อนไหวไป ตรงเข้าไป ทวนกระแสเข้าไป ทำลายวังน้ำวน ทำลายภวาสวะ ทำลายภพนี้ แล้วถ้าทำลายได้เมื่อไหร่ขึ้นมา อาวุโส-ภันเตเกิดที่นี่ ความจริงของเราเกิดที่นี่ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง